#Aom李海娜[超话]# Wonder eleven sale 11.11
แจกโค้ดลดเพิ่มสูงสุด 300.- ช้อปให้สุดกับ 3 โค้ดจัดเต็มที่ข้อปปี้มอบให้ ช้อปเลย!
โค้ด WADDAY15 ลดเพิ่ม 15% สูงสุด50.- ไม่มีขั้นต่ำ
โค้ด WADDAY20 รับเงินคืน 20% สูงสุด 300.- เมื่อช้อปครบ 599.-
โค้ด WADDAY300 ลดทันที 300.- เมื่อช้อปครบ 1,200.-
ShopeeTH
#ShopeeFashion1111
แจกโค้ดลดเพิ่มสูงสุด 300.- ช้อปให้สุดกับ 3 โค้ดจัดเต็มที่ข้อปปี้มอบให้ ช้อปเลย!
โค้ด WADDAY15 ลดเพิ่ม 15% สูงสุด50.- ไม่มีขั้นต่ำ
โค้ด WADDAY20 รับเงินคืน 20% สูงสุด 300.- เมื่อช้อปครบ 599.-
โค้ด WADDAY300 ลดทันที 300.- เมื่อช้อปครบ 1,200.-
ShopeeTH
#ShopeeFashion1111
#爱情效应[超话]#cr. Twitter
[ 8/11/62 ]
ประวัติของข้าวโอ๊ตครับ
สำหรับใครไม่รู้สามารถนำไปดูได้ครับ
ปล.ขอบคุณข้อมูลนะคะ
The history of oatmeal
For those who do not know, can take to see.
P.S. Thank you for information.
@oatchakrit
#oatchakrit https://t.cn/AirAAfyB
[ 8/11/62 ]
ประวัติของข้าวโอ๊ตครับ
สำหรับใครไม่รู้สามารถนำไปดูได้ครับ
ปล.ขอบคุณข้อมูลนะคะ
The history of oatmeal
For those who do not know, can take to see.
P.S. Thank you for information.
@oatchakrit
#oatchakrit https://t.cn/AirAAfyB
"จิตวิทยากับความโสด"
คนบางคนก็ไม่ได้อยากโสดนักหรอก แต่ส่วนใหญ่ความรักที่เข้ามานั้นมักเป็นความรักที่จังหวะไม่ดีเสมอ
แล้วเราก็มักจะโทษจังหวะ โทษโชคชะตาอย่างนู้นอย่างนี้ ทว่าความจริงที่คนนั้นโสดมันอาจจะไม่ใช่โชคชะตาหรอก แต่เป็นนิสัยติดตัว เหตุผลทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องอยู่คนเดียว
จริงๆ แล้วเรื่องของความสัมพันธ์ หรือความรัก ไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตา ความบังเอิญอย่างที่คิด ตัวเราเองสามารถควบคุมโลกของความรักได้มากพอสมควร เราสามารถสร้างโลกของตัวเราได้ ทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกๆ อย่างที่เป็นตัวเรามีผลต่อคนที่เข้ามาเสมอ วิธีที่เราตอบสนองต่อพวกเขา วิธีที่เราแสดงตัวตนเราออกไปทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
1. กำแพง
คนทุกคนมักจะเคยเจ็บปวดจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และความเจ็บปวดเหล่านั้นจะทำให้เราพยายามสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันอะไรบางอย่าง
เรื่องแบบนี้เป็นเหตุผลเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก คนที่ถูกเลี้ยงดูมาจากพ่อแม่ที่ละเลยหรือเย็นชา ก็จะโตมาเป็นคนที่ไม่เชื่อใจในความรัก หลังจากนั้น เวลามีคนมาให้ความสนใจกับเรามากๆ เราก็จะมักสงสัยคนๆนั้นก่อนเลย
'เขาต้องการอะไรจากเรารึเปล่า เขาจะหลอกเรารึเปล่านะ'
และเมื่อใดที่เรามีเกราะป้องกัน มีกำแพงของตัวเองแล้ว เราก็มักจะเลือกคบกับคนที่เราไม่สมควรคบไว้โดยที่ไม่รู้ตัว!
เราจะเลือกคบกับคนที่ไม่ใส่ใจกับเรามากเท่าที่ควร เพราะเราจะไม่กล้าคบกับคนดีๆ และเวลาที่ความสัมพันธ์มันพัง ก็จะลงท้ายด้วยการโทษว่าเป็นความผิดของเขา ทั้งที่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนเลือกแบบนี้ตั้งแต่ต้น ตัวเราเองเป็นคนเลือกที่จะคบกับคนที่ไม่แคร์เรา เพราะการประเมินผิด และการมีสัญชาตญาณที่ไม่ถูกต้อง
2. ความกลัว
เพราะเราไม่เคยชินกับการได้รับความรัก ทำให้เรากลัวความใกล้ชิด และเราก็จะพยายามหาอะไรมาตอกย้ำความคิดนี้ของเราอยู่เสมอ
หรือถึงแม้เราจะพยายามคิดแง่ดี หรือเจอข้อดีของตัวเองขึ้นมา 'ฉันมีค่าพอนะ เขาอยู่กับฉันแล้วจะต้องรู้สึกดีแน่ๆ'
แต่เชื่อสิ อีกสักพักก็จะมีความคิดลอยแว้บเข้ามาในหัว 'นี่เราคิดว่าเราเป็นใครวะ ทำไมมั่นใจขนาดนี้'
ความกลัวเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวชะงักความสัมพันธ์ของเรา และยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นภาพที่ลบๆของตัวเอง คนเราไม่ค่อยกล้าคิดหรอกว่าเราสวย เราหล่อ เราก็มีดีอยู่นะ เพราะเรามักจะถูกบังคับให้คิดว่าอย่าหลงตัวเอง มันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะไม่ชอบตัวเอง
เสียงในใจของเราจะคอยตอกย้ำเราอยู่เสมอ ‘ขาฉันใหญ่เหมือนขาโต๊ะสนุ๊ก’ ‘โครงหน้าฉันมันน่าเกลียด’ ‘ฉันมันไม่เก่ง’ และเมื่อไหร่ที่เราไม่ชอบตัวเอง เราก็จะยิ่งสร้างบรรยากาศที่อึมครึม ทำให้คนไม่กล้าเข้าหา หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น
ความไม่มั่นใจในตัวเองนั่นแหละ ยิ่งจะทำให้เรากลัวการแข่งขัน บางครั้งเวลาที่เราไปชอบใคร แต่มีคนอื่นมาชอบเขาเหมือนกัน เราก็จะชอบคิดว่า ‘คนนั้นดีกว่าเราตั้งเยอะ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ’ จนสุดท้ายเราก็จะถอยทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ลอง เรามักจะกลัวที่จะถูกมองว่าโง่ หรือแพ้ที่ไม่ได้ถูกเลือก หรือแม้กระทั่งคิดไปว่า ถ้าเราชนะ เราก็ต้องทำร้ายความรู้สึกของตัวเองหรือแม้กระทั่งอีกคน
แต่ความจริงแล้ว ความรักคือการแข่งขัน ถ้าคุณไม่ทุ่มเท ไม่กล้าที่จะให้โอกาสกับมัน มันก็ไม่มีวันเป็นของคุณหรอก เมื่อพูดแบบนี้แล้วก็ฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่จะมีทางใดในการจะข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้นด้วยการเผชิญหน้า!
เมื่อเราสู้แล้ว สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละจะเข้มแข็งขึ้น เราจะค่อยๆขจัดความคิดอคติกับตนเองออกไป และมันก็จะไปเพิ่มโอกาสดีๆ ที่อาจจะนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
3. Comfort Zone & Rule
เมื่อเราอยู่คนเดียวมากขึ้น เราก็จะค่อยๆ เข้าไปอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง เรามักจะมี Routine ของตัวเอง มีโลกของตัวเองที่กว้างขึ้น และกลัวที่จะออกมาจากโลกนั้น
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากเสียงข้างในใจเราอีกนั่นเอง ‘เราอยู่คนเดียวได้ แค่นอนดูซีรีย์ กินบุฟเฟ่ต์ ช็อปปิ้ง เที่ยวกับเพื่อน แค่นี้ก็มีความสุขแล้วไง จะออกไปไขว่คว้าหาใครอื่นอีกทำไม’ แต่ปัญหามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะอีกสักพัก เสียงๆ นั้นก็จะดังขึ้นมาใหม่ ‘อยู่คนเดียวอีกแล้วหรือเรา อย่างเรานี่คงเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแน่ๆ ไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตแบบนี้กับเราหรอก’
เอ้า กลายเป็นคนสับสนในอารมณ์ไปเสียอย่างนั้น
กิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง สุดท้ายก็จะทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ดี เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรจะลองต่อต้านเสียงในใจเราตั้งแต่ต้น แล้วลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกดูบ้าง ลองยิ้ม ลองสบตา ลองทักทาย ลองเปิดใจให้คนอื่นๆ เพื่อที่จะค้นหาตัวตนในแบบใหม่ของตัวเอง และค้นหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุขกันแน่
นอกจากที่เราจะมี Comfort Zone ของตัวเองแล้ว เราก็ยังจะเขียนกฏของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่เราจะไม่ต้องเจ็บแบบซ้ำๆ อีก แต่กฏบนกระดาษมันใช้ไม่ได้ในโลกของความจริง เช่น หลังจากที่สาวเฟรชชี่ปี 1 คนหนึ่งเคยคบกับรุ่นพี่ที่คณะซึ่งอยู่ในชมรมเดียวกัน ซึ่งตัวเธอก็คิดว่าเราต้องมีเคมีที่เข้ากับเขาได้ดีมาก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ไม่เวิร์ค ผู้หญิงคนนั้นก็จะตั้งกฏของตัวเองขึ้นมาเลย
‘ฉันจะไม่คบกับผู้ชายคณะนี้ ชมรมนี้อีกแล้ว’
ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่าผู้ชายทุกคนบนโลก ไม่ใช่คนแบบเขาคนนั้นทั้งหมด
(มีต่อ) https://t.cn/R2WJvL6
คนบางคนก็ไม่ได้อยากโสดนักหรอก แต่ส่วนใหญ่ความรักที่เข้ามานั้นมักเป็นความรักที่จังหวะไม่ดีเสมอ
แล้วเราก็มักจะโทษจังหวะ โทษโชคชะตาอย่างนู้นอย่างนี้ ทว่าความจริงที่คนนั้นโสดมันอาจจะไม่ใช่โชคชะตาหรอก แต่เป็นนิสัยติดตัว เหตุผลทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องอยู่คนเดียว
จริงๆ แล้วเรื่องของความสัมพันธ์ หรือความรัก ไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตา ความบังเอิญอย่างที่คิด ตัวเราเองสามารถควบคุมโลกของความรักได้มากพอสมควร เราสามารถสร้างโลกของตัวเราได้ ทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกๆ อย่างที่เป็นตัวเรามีผลต่อคนที่เข้ามาเสมอ วิธีที่เราตอบสนองต่อพวกเขา วิธีที่เราแสดงตัวตนเราออกไปทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
1. กำแพง
คนทุกคนมักจะเคยเจ็บปวดจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และความเจ็บปวดเหล่านั้นจะทำให้เราพยายามสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันอะไรบางอย่าง
เรื่องแบบนี้เป็นเหตุผลเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก คนที่ถูกเลี้ยงดูมาจากพ่อแม่ที่ละเลยหรือเย็นชา ก็จะโตมาเป็นคนที่ไม่เชื่อใจในความรัก หลังจากนั้น เวลามีคนมาให้ความสนใจกับเรามากๆ เราก็จะมักสงสัยคนๆนั้นก่อนเลย
'เขาต้องการอะไรจากเรารึเปล่า เขาจะหลอกเรารึเปล่านะ'
และเมื่อใดที่เรามีเกราะป้องกัน มีกำแพงของตัวเองแล้ว เราก็มักจะเลือกคบกับคนที่เราไม่สมควรคบไว้โดยที่ไม่รู้ตัว!
เราจะเลือกคบกับคนที่ไม่ใส่ใจกับเรามากเท่าที่ควร เพราะเราจะไม่กล้าคบกับคนดีๆ และเวลาที่ความสัมพันธ์มันพัง ก็จะลงท้ายด้วยการโทษว่าเป็นความผิดของเขา ทั้งที่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนเลือกแบบนี้ตั้งแต่ต้น ตัวเราเองเป็นคนเลือกที่จะคบกับคนที่ไม่แคร์เรา เพราะการประเมินผิด และการมีสัญชาตญาณที่ไม่ถูกต้อง
2. ความกลัว
เพราะเราไม่เคยชินกับการได้รับความรัก ทำให้เรากลัวความใกล้ชิด และเราก็จะพยายามหาอะไรมาตอกย้ำความคิดนี้ของเราอยู่เสมอ
หรือถึงแม้เราจะพยายามคิดแง่ดี หรือเจอข้อดีของตัวเองขึ้นมา 'ฉันมีค่าพอนะ เขาอยู่กับฉันแล้วจะต้องรู้สึกดีแน่ๆ'
แต่เชื่อสิ อีกสักพักก็จะมีความคิดลอยแว้บเข้ามาในหัว 'นี่เราคิดว่าเราเป็นใครวะ ทำไมมั่นใจขนาดนี้'
ความกลัวเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวชะงักความสัมพันธ์ของเรา และยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นภาพที่ลบๆของตัวเอง คนเราไม่ค่อยกล้าคิดหรอกว่าเราสวย เราหล่อ เราก็มีดีอยู่นะ เพราะเรามักจะถูกบังคับให้คิดว่าอย่าหลงตัวเอง มันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะไม่ชอบตัวเอง
เสียงในใจของเราจะคอยตอกย้ำเราอยู่เสมอ ‘ขาฉันใหญ่เหมือนขาโต๊ะสนุ๊ก’ ‘โครงหน้าฉันมันน่าเกลียด’ ‘ฉันมันไม่เก่ง’ และเมื่อไหร่ที่เราไม่ชอบตัวเอง เราก็จะยิ่งสร้างบรรยากาศที่อึมครึม ทำให้คนไม่กล้าเข้าหา หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น
ความไม่มั่นใจในตัวเองนั่นแหละ ยิ่งจะทำให้เรากลัวการแข่งขัน บางครั้งเวลาที่เราไปชอบใคร แต่มีคนอื่นมาชอบเขาเหมือนกัน เราก็จะชอบคิดว่า ‘คนนั้นดีกว่าเราตั้งเยอะ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ’ จนสุดท้ายเราก็จะถอยทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ลอง เรามักจะกลัวที่จะถูกมองว่าโง่ หรือแพ้ที่ไม่ได้ถูกเลือก หรือแม้กระทั่งคิดไปว่า ถ้าเราชนะ เราก็ต้องทำร้ายความรู้สึกของตัวเองหรือแม้กระทั่งอีกคน
แต่ความจริงแล้ว ความรักคือการแข่งขัน ถ้าคุณไม่ทุ่มเท ไม่กล้าที่จะให้โอกาสกับมัน มันก็ไม่มีวันเป็นของคุณหรอก เมื่อพูดแบบนี้แล้วก็ฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่จะมีทางใดในการจะข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้นด้วยการเผชิญหน้า!
เมื่อเราสู้แล้ว สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละจะเข้มแข็งขึ้น เราจะค่อยๆขจัดความคิดอคติกับตนเองออกไป และมันก็จะไปเพิ่มโอกาสดีๆ ที่อาจจะนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
3. Comfort Zone & Rule
เมื่อเราอยู่คนเดียวมากขึ้น เราก็จะค่อยๆ เข้าไปอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง เรามักจะมี Routine ของตัวเอง มีโลกของตัวเองที่กว้างขึ้น และกลัวที่จะออกมาจากโลกนั้น
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากเสียงข้างในใจเราอีกนั่นเอง ‘เราอยู่คนเดียวได้ แค่นอนดูซีรีย์ กินบุฟเฟ่ต์ ช็อปปิ้ง เที่ยวกับเพื่อน แค่นี้ก็มีความสุขแล้วไง จะออกไปไขว่คว้าหาใครอื่นอีกทำไม’ แต่ปัญหามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะอีกสักพัก เสียงๆ นั้นก็จะดังขึ้นมาใหม่ ‘อยู่คนเดียวอีกแล้วหรือเรา อย่างเรานี่คงเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแน่ๆ ไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตแบบนี้กับเราหรอก’
เอ้า กลายเป็นคนสับสนในอารมณ์ไปเสียอย่างนั้น
กิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง สุดท้ายก็จะทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ดี เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรจะลองต่อต้านเสียงในใจเราตั้งแต่ต้น แล้วลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกดูบ้าง ลองยิ้ม ลองสบตา ลองทักทาย ลองเปิดใจให้คนอื่นๆ เพื่อที่จะค้นหาตัวตนในแบบใหม่ของตัวเอง และค้นหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุขกันแน่
นอกจากที่เราจะมี Comfort Zone ของตัวเองแล้ว เราก็ยังจะเขียนกฏของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่เราจะไม่ต้องเจ็บแบบซ้ำๆ อีก แต่กฏบนกระดาษมันใช้ไม่ได้ในโลกของความจริง เช่น หลังจากที่สาวเฟรชชี่ปี 1 คนหนึ่งเคยคบกับรุ่นพี่ที่คณะซึ่งอยู่ในชมรมเดียวกัน ซึ่งตัวเธอก็คิดว่าเราต้องมีเคมีที่เข้ากับเขาได้ดีมาก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ไม่เวิร์ค ผู้หญิงคนนั้นก็จะตั้งกฏของตัวเองขึ้นมาเลย
‘ฉันจะไม่คบกับผู้ชายคณะนี้ ชมรมนี้อีกแล้ว’
ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่าผู้ชายทุกคนบนโลก ไม่ใช่คนแบบเขาคนนั้นทั้งหมด
(มีต่อ) https://t.cn/R2WJvL6
✋热门推荐